9 ธันวาคม 2553

ผัดเผ็ดปลาดุก

ผัดเผ็ดปลาดุก

เราควรทานเนื้อปลาให้มากขึ้นเพราะปลาเป็นแหล่งของโปรตีนคุณภาพดี ย่อยง่าย มีกรดไขมันไม่อิ่มตัว และกรดไขมันพิเศษที่เรียกว่า “โอเมก้า-3” ค่อนข้างสูง ปลาดุกนั้นเป็นปลาที่มีไขมันสูง มากกว่า 8-20 กรัมต่อ 100 กรัม วันี้เราลองมาทำเมนูผัดเผ็ดปลาดุกกันดีกว่า

ส่วนผสม
ปลาดุกสดหั่นชิ้น 1 ตัว
กระเทียม 2 ช้อนโต๊ะ
พริกขี้หนูสด 3 ช้อนโต๊ะ
กระชายหั่นฝอย ¼ ถ้วยตวง
พริกชี้ฟ้าสีแดงสีเหลืองหั่นแฉลบ ¼ ถ้วยตวง
ใบมะกรูดฉีก 5 ใบ
ใบโหระพา ¼ ถ้วยตวง
น้ำปลา 3 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาล 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยสด


วิธีทำผัดเผ็ดปลาดุก
1.โขลกพริกขี้หนูกับกระเทียมพอแหลกพักไว้
2.นำน้ำมันใส่กระทะตั้งไฟพอร้อน ใส่กระเทียม พริกขี้หนูที่โขลกไว้ผัดให้หอม
3.ใส่ปลาดุกผัดให้สุก ใส่น้ำปลา น้ำตาลปี๊บ ผัดให้เข้ากัน ชิมรส เมื่อรสดีแล้วใส่ใบมะกรูด
กระชาย เม็ดพริกไทยสด พริกชี้ฟัา จัดให้เข้ากันอีกครั้ง จึง ใส่ใบโหระพา ยกลงจัดใส่จานให้สวยงาม เสิร์ฟได้ทันที


2 กันยายน 2553

ปลากะพงนึ่ง

ปลากะพงนึ่ง
เมนูนี้เป็นเมนูปลาที่ขึ้นชื่อ หลายๆคนกินแล้วติดใจ ทดลองนำสูตรไปทำกินเองที่บ้านได้ ใช้เนื้อปลากระพงซึ่งเป็นปลาทะเลที่เนื้อมีรสชาติหวานอร่อย ราดด้วยน้ำจิ้ม รสชาติจิ๊ดจ๊าด
บนตัวปลา ที่มีทั้งกระเทียม พริกมะนาว อร่อยลงตัว

ส่วนผสม
ปลากะพงขาว 1 ตัว

กระเทียมไทยแกะเปลือกสับ 1/4 ถ้วย
พริกขี้หนูสีเขียว-แตงสับ 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำสต๊อกปลา 1/2 ถ้วย
ซีอิ๊วขาว 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 2 ช้อนชา
น้ำตาลทรายแดง 1 ช้อนชา
น้ำมันงา 1 ช้อนชา
บรอกโคลีลวก
มะนาวหั่นแว่น
น้ำมันพืช 2 ช้อนโต๊ะ

วิธีทำ
1. ขอดเกล็ดปลากะพง ควักเหงือกและผ่าท้องควักไส้ออก ล้างให้สะอาด ใส่ตะแกรงพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ แล่เอาแต่เนื้อปลาทั้งสองด้าน ใส่จาน พักไว้
2. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางจนร้อน ใส่กระเทียม พริกขี้หนู ผัดจนมีกลิ่นหอม ใส่น้ำสต็อกปลา ผัดให้เข้ากัน ปรุงรสด้วยน้ำตาล ซีอิ๊วขาว น้ำมะนาว ลดเป็นไฟอ่อนลง เคี่ยวสักครู่ ใส่ น้ำมันงา ผัดให้ทั่ว ปิดไฟ
3. เรียงเนื้อปลาใส่จานหรือชามสำหรับนึ่ง นำไปนึ่งในชั้นลังถึงบนหม้อน้ำเดือดด้วยไฟ แรงประมาณ 5-7 นาที หรือจนเกือบสุก เปิดฝา ราดน้ำที่ผัดไว้ ปิดฝานึ่งต่ออีก 2-3 นาที จปลาสุกดี ปิดไฟ
4. จัดใส่จาน ตกแต่งด้วย บรอกโคลีลวกและมะนาว หั่นแว่น พร้อมเสิร์ฟร้อนๆแล้วสำหรับเมนูปลากะพงนึ่ง จานนี้

21 สิงหาคม 2553

ปลาสวายทอดน้ำปลา

ปลาสวายทอดน้ำปลา

ปลาสวายทอดน้ำปลา
ปลาสวายจัดเป็นปลาหนังน้ำจืด ที่เนื้อมีรสชาติอร่อยนำมาประกอบอาหารได้หลายเมนู เช่น ต้มยำ ย่าง ทำสะเต็ก และเมนูที่อร่อย อีก1อย่างนั่นคือ ปลาสวายน้ำปลา

ส่วนผสม
ปลาสวายหั่นเป็นชิ้นตามขวาง 2 ชิ้น
น้ำปลา 1/4 ถ้วย
น้ำมันพืช 4 ถ้วย
พริกชื้ฟ้าแดงเผา 5 เม็ด
พริกชื้ฟ้าเหลืองเผา 2 เม็ด
หอมแดงเผา 5 หัว
กระเทียมไทยเผา 9 กลีบ
น้ำปลา 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำมะนาว 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
เกลือป่น 1/4 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 2 ช้อนชา

วีธีทำ
1.ทำน้ำจิ้มโดยโขลกพริกชี้ฟ้าสีแดงเผา พริกชี้ฟ้าสีเหลืองเผา หอมแดงเผา กระเทียมเผา เข้าด้วยกันพอแหลก ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำมะนาว เกลือ และน้ำตาล คนให้เข้ากัน ชิมรสให้เผ็ดเปรี้ยว เค็ม หวาน ตักใส่ถ้วยไว้
2.ดึงตุ่มเส้นสีขาว 2 จุด ที่อยู่ในเนื้อปลาสวายออก (เพราะเส้นสีขาวเป็นเส้นที่ทำให้เนื้อปลามีกลิ่นคาวและสาบ) จากนั้นเคล้าเกลือให้ทั่ว แล้วจึงล้างด้วยน้ำแกว่งสารส้ม หรือน้ำมะขามเปียกหรือน้ำปูนแดง แล้วล้างน้ำอีกครั้งจนสะอาด ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
3.ใส่เนื้อปลาสวายลงในอ่างผสม ใส่น้ำปลา คลุกเคล้าให้ทั่ว หมักทิ้งไว้ที่อณหภูมิห้องนาน 5 นาที
4.ตั้งกระทะด้วยไฟกลาง ใส่น้ำมันรอให้ร้อนนำเนื้อปลาสวายที่หมักได้ที่ลงทอดจนสุกเหลืองทั่ว ตักขึ้นวางบนกระดาษซับน้ำมัน
5.จัดใส่จาน เสิร์ฟกับผักสดและน้ำจิ้ม

14 สิงหาคม 2553

ปลากระบอกทอดกระเทียม

ปลากระบอกทอดกระเทียม
ปลากระบอกทอดกระเทียม
เมนูปลาวันนี้ขอเสนอ ปลากระบอกทอดกระเทียมเป็นเมนูที่ทำได้ง่ายๆไม่ยุ่งยาก ได้คุณค่าโปรตีนจากปลาทะเล

เครื่องปรุง
• ปลากระบอก 6 ตัว
• น้ำมันพืช 4 ถ้วย
• กระเทียมไทย 3/4 ถ้วย
• พริกไทยดำเม็ด 1 1/2 ช้อนชา
• น้ำปลา 1 1/2 ช้อนโต๊ะ
• น้ำตาลทราย 1 ช้อนชา
• แตงร้าน มะเขือเทศเชอร์รี สำหรับตกแต่ง
• ซอสพริก

วิธีทำ
1.ขอดเกล็ดปลา ผ่าท้องควักไส้ออก บั้งทั้งสองด้าน พักในตะแกรงให้ละเด็ดน้ำ
2. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางพอร้อน ใส่ปลาลงทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักให้สะเด็ด
น้ำมัน
3. โขลกกระเทียมและพริกไทยเข้าด้วยกันพอหยาบ ตักใส่ถ้วย พักไว้
4. ตักน้ำมันที่ทอดปลาออกให้เหลือ 1/4 ถ้วย ใส่กระเทียมและพริกไทยที่โขลกลงผัดพอเหลือง
หอม กันกระเทียมไว้ข้างกระทะ ตักน้ำมันออกจนหมด ใส่น้ำปลา น้ำตาล ผัดเคล้าให้เข้ากัน
ใล่ปลากระบอกทอดลงคลุกเคล้าให้เข้ากันทั่ว
5. ตักใส่จาน ตกแต่งด้วยแตงร้าน มะเขือเทศ เสิร์ฟพร้อมกับ ซอสพริก

7 สิงหาคม 2553

ปลาอินทรีผัดฉ่า

ปลาอินทรีผัดฉ่า
ปลาอินทรีผัดฉ่า
เป็นเมนูปลาที่รสชาติจัดจ้านร้อนแรง รับรองว่าถูกปากคนที่ชอบอาหารรสจัด

ส่วนผสม
เนื้อปลาอินทรี 200 กรัม
น้ำสต๊อกหมู 1/4 ถ้วย
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
ยอดมะพร้าวหั่น 1/2 ถ้วย
พริกไทยอ่อนหั่น 7 ช่อ
กระชายหั่นเส้น 1/2 ถ้วย
พริกชี้ฟ้าสีแดงหั่นแฉลบ 1 เม็ด
กระะเทียมสับ 1 ช้อนโต๊ะ
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
ใบมะกรูดฉีก
น้ำมันพืช 3 ช้อนโต๊ะ

เครื่องแกงผัดฉ่า
พริกขี้หนูสีเขียวแดง 25 เม็ด
กระเทียมไทย 25 กลีบ
พริกไทยดำเม็ด 1/2 ช้อนชา
ข่าแก่หั่น 1/2 ช้อนชา

วิธีทำ
•นำเนื้อปลาอินทรีมาล้างทำความสะอาด ซับน้ำให้แห้ง หั่นเนื้อปลาให้เป็นชิ้นพอคำ ใส่ตะแกรงพักให้สะเด็ดน้ำ
•เตรียมพริกแกงผัดฉ่า โดยโขลกส่วนผสมเครื่องแกงผัดฉ่าทั้งหมดมาโขลกรวมกันพอแหลก ตักใส่ถ้วย พักไว้

•ยกกระทะใส่น้ำมัน ตั้งบนไฟปานกลาง พอน้ำมันร้อน ใส่เครื่องแกงผัดฉ่าลงผัดให้มีกลิ่นหอม ตามด้วยเนื้อปลาอินทรี ผัดพอ
สุก ใส่น้ำหรือน้ำสต๊อกหมู ผัดให้ทั่ว ระวังอย่าผัดนานเนื้อปลาจะแห้งแข็ง
•ปรุงรสด้วยน้ำปลา น้ำตาล ใส่ยอดมะพร้าวอ่อน ใบมะกรูด พริกไทยอ่อน กระชาย พริกชี้ฟ้าสีแดง ผัดพอทั่ว ปิดไฟ
โรยกระเทียมสับให้ทั่ว
•ตักใส่จาน แต่งหน้าด้วยใบมะกรูด พร้อมเสิร์ฟร้อนๆ

26 กรกฎาคม 2553

ปลาเนื้ออ่อนทอดขมิ้น



ปลาเนื้ออ่อนทอดขมิ้น
ปลาเนื้ออ่อน เป็นปลาน้ำจืดที่มีเนื้อนุ่ม รสชาติอร่อย สามารถนำมาทำได้หลากหลายเมนูปลา เช่น ปลาเนื้ออ่อนทอดกระเทียม ต้มยำปลาเนื้ออ่อน และ ปลาเนื้ออ่อนทอดขมิ้น ก็เป็นอีกหนึ่งเมนูที่คน นิยมรับประทานกันมากๆ

ส่วนผสม
ปลาเนื้ออ่อน 1 ตัว
กระเทียมไทยโขลกหยาบ 1/2 ถ้วย
ขมิ้นหั่นท่อน 2-3 ชิ้น
แป้งข้าวเจ้า 2 ช้อนโต๊ะ
แป้งสาลี 2 ช้อนโต๊ะ
น้ำปลา 1 ช้อนโต๊ะ
พริกไทยเม็ด 1 ช้อนชา
เกลือป่น 1/2 ช้อนชา
น้ำตาลทราย 1/2 ช้อนชา
น้ำมันพืช 2 ถ้วย
น้ำเปล่า 2 ช้อนโต๊ะ
ซอสพริก

วิธีทำ
1. นำปลาเนื้ออ่อน มาล้างทำความสะอาด ผ่าท้องควักไสัออก เคล้ากับเกลือให้ทั่ว หมักทิ้งไว้สักครู่ เพื่อเอาเมือก คาวออก ล้างอีกครั้งให้สะอาดทั้งสองด้าน หั่นปลาเนื้ออ่อนเป็นท่อนใส่ตะแกรงพักไว้ให้สะเด็ดน้ำ
2. โขลกกระเทียมกับพริกไทยและขมิ้น ให้พอหยาบๆ ตักใส่อ่างผสม ใส่แป้งข้าวเจ้า เกลือ น้ำตาล แป้งสาลี น้ำปลา และน้ำเปล่า คลุกเคล้าให้ส่วนผสมเข้ากัน ใส่ปลาเนื้ออ่อน ลงไปคลุกเคล้าให้ทั่ว หลักในตู้เย็น
ช่องธรรมดาประมาณ 15-20 นาที
3. ตั้งกระทะน้ำมันบนไฟกลางให้ร้อน ใส่ปลาเนื้ออ่อนที่หมักลงทอดให้สุกเหลืองทั้งสองด้าน ตักขึ้นพักในตะแกรงให้สะเด็ดน้ำมัน ใส่เครื่องที่หมักลงทอดให้เหลืองหอม ตักขึ้นวางบนกระดาษ
ซับ น้ำมัน
4. จัดปลาทอดใฟจานที่รองด้วยผักกาด โรยเครื่องหมักที่เจียว เสิร์ฟกับแตงกวาและซอสพริก

17 กรกฎาคม 2553

แซลมอนย่างซีอิ๊ว



แซลมอนย่างซีอิ๊ว
เมนูปลา วันนี้ขอเสนอเมนู แซลมอนย่างซีอิ๊ว

ส่วนผสม
เนื้อปลาแซลมอน 2 ชิ้น
มะเขือเทศเชอร์รีสีเหลือง
ผักกาดออร์กเขียว
แรดิชชิโอ
แรดิชชหันแว่น
เห็ดเข็มทอง

ส่วนผสมซอสซีอิ๊ว
หัวและก้างปลาทะเลสับชิ้นใหญ่ 500 กรัม
เหล้าสาเก ½ ถ้วย
ซีอิ๊วญี่ปุ่น 2/3 ถ้วย
หอมใหญ่หั่นเป็นแว่นๆ 200 กรัม
แครอททั้งเปลือกหั่น 100 กรัม
ปลาโอขูดแห้ง 10 กรัม
ขิงแก่หั่น 100 กรัม
น้ำตาลทราย 1 ถ้วย

วิธีทำ
1.เริ่มจากการทำซอสซีอิ๊วกันก่อน โดยการนำหัวและก้างปลาหอมใหญ่ ขิง แครอท ไปย่างหรืออบก็ได้จนสุกเป็นสีน้ำตาลไหม้เล็กน้อย
2.นำเหล้าสาเกใส่ในหม้อ ยกขึ้นตั้งบนไฟปานกลางให้แอลกอฮอล์ระเหยออกให้หมด ใส่หัวและก้างปลาและผักต่างๆที่ย่างไว้
3.ปรุงรสด้วย น้ำตาล ซีอิ๊วญี่ปุ่น เบาไฟให้อ่อนลง เคี่ยวต่อไปนานประมาณ 15 นาที นำเนื้อปลาโอขูดใส่ลงไป เคี่ยวอีก 5 นาที จนมีกลิ่นหอม ชิมรสให้เค็มหวาน
4.ยกหม้อซอสลง แล้วนำซอสไปกรองเอาแต่ซอสซีอิ๊ว ใส่ขวด ปิดฝา เก็บแช่ในตู้เย็นช่องธรรมดาได้นาน
5. ต่อจากนั้นมาเริ่มทำปลาแซลมอน ขอดเกล็ดปลา และล้างน้ำให้สะอาด แล้วซับน้ำให้แห้ง ใส่ลงในอ่างผสม ใส่ซอสซีอิ๊ว 1/4 ถ้วย คลุกเคล้าให้ทั่วชิ้นปลา
6.นำปลาแซลมอนที่คลุกซอสไว้แล้ว ไปหมักในตู้เย็นช่องธรรมดานาน 30 นาที นำไปย่างในกระทะร้อนด้วยไฟปานกลางจนสุกทั่วทั้งสองด้าน ระหว่างย่างให้ทาซอสซีอิ๊วที่หมักจนทั่วดี
7.จัดใฟจาน ตกแต่งด้วยผักกาดออร์กเขียว แรดิชชิโอ มะเขือเทศ เห็ดเข็มทอง และแรดิชหั่นแว่น พร้อมเสิร์ฟได้ทันที

10 กรกฎาคม 2553

เทคนิคการปรุงอาหารจากปลา




เทคนิคการปรุงอาหารจากปลา
1.การนึ่งปลา
เทคนิคการนึ่งปลา
1.ปลาที่จะใช้นึ่งต้องสดเป็นพีเศษ ไม่เช่นนั้นเนื้อปลาจะแตกและมีกลิ่นคาว ต้องเตรียมเนื้อปลาและล้างอย่างถูกวิธี ต้องนึ่งด้วยไฟแรงน้ำเดือดจัด ใช้เวลานึ่งที่เหมาะสมกับปลานั้นๆ
2. ถ้าปลาตัวใหญ่ควรบั้งปลา เป็นบั้งๆทั้งสองด้านก่อนนำไปนึ่งเพื่อให้สุกง่ายยิ่งขึ้น
3. ลังถึงหรือซึ้งเป็นอุปกรณ์ที่ใช้ในการนื่งจะต้องใส่น้ำในหม้อลังถึง 1/4 ของลังถึง ใช้ไฟแรง น้ำต้องเดือดจัดจึงนำปลาลงนึ่ง เลือกขนาดลังถึงให้เหมาะสม เมื่อวางปลาแล้วต้องมีรูของชั้น ลังถึงให้ไอน้ำขึ้นทั่วถึง เนื้อปลาจึงจะสุกดี
4. ก่อนจะนึ่งปลาควรทาน้ำมะนาวกับเกลืออย่างละครึ่งช้อนชาให้ทั่วตัวปลาก่อน เพื่อป้องกันเนื้อปลาแตกเละ

2.การต้มปลา
เทคนิคการต้มปลา
1.การต้มปลานั้น มีเทคนิคคือต้องรอให้น้ำเดือดพล่านก่อน จึงใส่เนื้อปลาลงไป ที่สำคัญคือห้ามคนจนกว่าปลาจะสุก เพื่อให้โปรตีนในปลาแข็งตัวทันที ไม่ละลายลงในน้ำต้ม เพราะ ถ้าไม่สุกโปรตีนจะละลายออกมาทำให้น้ำต้มนั้นคาวและเนื้อปลาไม่อร่อย ไม่หวานมัน
2. การต้มปลาสด นอกจากจะใส่ปลาในขณะน้ำเดือดแล้ว อาจจะเติมน้ำส้มสายชูลงไป เล็กน้อย จะทำให้ปลาไม่มีกลิ่นคาว
3. เวลาต้มปลา ถ้าบีบมะนาวลงในน้ำทีต้ม จะทำให้ปลาคงรูปไม่เละ
4. ต้มหัวปลาให้ต้มน้ำให้เดือดจัดๆ แล้วใส่ตะไคร้มากเป็นพิเศษ ใส่ใบมะกรูด แล้วค่อยใส่หัวปลาที่เตรียมไว้ไม่ว่าจะเป็นหัวปลากะพงหรือหัวปลาเก๋าก็ตาม ใส่ลงไปต้มสัก 1 นาที ตักขึ้นให้สะเด็ดน้ำแล้วจึงนำไปปรุงเป้นต้มยำปลา ข้าวต้มหัวปลา หรืออื่นๆ

3.การทอดปลา
เทคนิคการทอด
การทอดปลาให้มีรสชาติอร่อย ต้องนำปลาไปแช่ในน้ำเกลือก่อนประมาณ 5-10 นาที แล้วพักปลาให้สะเด็ดน้ำก่อน ที่จะนำมาทอด
ถ้าอยากให้ปลาเหลืองกรอบก็ควรเติมน้ำมันให้ท่วมตัวปลา ใช้ไฟปานกลาง เมื่อปลาเริ่มสุขจึงค่อยหรี่ไฟลง และเร่งไฟอีกทีเมื่อปลาเริ่มมีสีเหลืองอ่อน
วิธีป้องกันปลาติดกระทะ คือให้นำเกลือประมาณ 1 ทัพพีใส่ลงไปในกระทะตั้งบนเตาคั่วเกลือในกระทะร้อนๆสักพักก่อนเทเกลือออกแล้วจึงใส่นำมันลงไปให้นำมันร้อนจัดจึงใส่ปลาลงไปทอดจนเหลืองจึงกลับอีกด้านเท่านี้ปลาที่ทอดก็จะไม่ติดกระทะ

การทอดปลาสด ๆ ถ้าเป็นปลาที่แล่เอาก้างออกแล้ว ตอนทอดให้เอาด้านที่เป็นหนังปลาลงไปทอดก่อน เมื่อปลาสุก ค่อยกลับเอาทางเนื้อลงทอดจนเหลืองกรอบ ก็จะเนื้อปลาจะกรอบสวยงาม

4.การย่างปลา
เทคนิคการย่างปลา
1.การย่างปลามีหลายแบบ อาจจะย่างโดยใช้กระทะสำหรับย่าง หรืออาจ จะย่างด้วยตะแกรงย่าง การย่างด้วยกระทะใช้ไฟกลาง ให้กระทะร้อน จึงจะใส่เนื้อปลาลง ไปย่าง เนื้อปลาด้านนอกก็จะสุกก่อน น้ำหวานในเนื้อปลาไม่ไหลมาทำให้เนื้อปลาไม่แห้ง กระทะสำนรับย่างควรเลือกที่มีน้ำหนักมาก จะช่วยเก็บความร้อนได้ดีและนาน และจะย่างปลาได้สุกเร็ว
2. ตะแกรงในหรือกระทะที่ใช้ยางปลา จะต้องใช้ทาน้ำมันบางๆให้ทั่วกระทะเพื่องป้องเนื้อปลาติดกระทะ อาจจะใช้เนยสดด้วยก้ได้เพื่อเพิ่มกลิ่นและรสชาติของปลา แต่ต้องระวังอย่าใส่มากเพราะเนยจะไหม้เร็ว
3. การย่างปลาให้กลับปลาเมื่อปลาสุกไม่ควรกลับปลาไปมาบ่อยๆ เนื้อปลาจะแตก เละเป็นชิ้นเล็ก
4. ย่างปลาด้วยเตาถ่านครั้งแรกต้องใช้ไฟแรง เพื่อให้เนื้อด้านนอกสุก น้ำในตัวปลาไม่ไหล ออกมา เเล้วจึงลดไฟ จะทำให้เนื้อปลานุ่ม แต่ถ้าย่างปลาไฟอ่อนแต่แรก น้ำในตัวปลาจะไหลออก มาหมด ทำให้เนื้อปลาจะแข็ง กินไม่อร่อย

21 มิถุนายน 2553

ปลาสุดยอดแห่งโปรตีน จากเนื้อสัตว์


ปลาสุดยอดแห่งโปรตีน จากเนื้อสัตว์

เมืองไทยเรานั้นอุดมสมบรูณ์นักหนา จนมีคำกล่าวว่า "ในน้ำมีปลา ในนามีข้าว" ทั้งปลาน้ำจืดจากแม่น้ำสายน้อยใหญ่ และยังมี ลำคลอง ห้วย หนอง บึง ประเทศไทยมีชายฝั่งทะเลที่ยาวมากถึง 7,066 กิโลเมตร ทำให้เป็นแหล่งที่อยู่อาศัยของปลาทะเลและสัตว์น้ำอื่นๆอีกเป็น
จำนวนมาก ทั้งปลาน้ำจืดและปลาทะเลของเรา ที่มีกำลังการผลิตสูงถึง 1.6 ล้านตันในปี พ.ศ.2549 (27% ของผลผลิตสัตวน้ำทั้งหมด)

ข้าวกับปลาเป็นอาหารดั้งเดิมที่อยู่คู่คนไทยมาช้านาน ไม่ต้องเสียสตางค์ซื้อหา เรารับเอาวัฒนธรรมกินเนื้อสัตว์จากชาติตะวันตกเข้ามา พิษภัยของเนื้อสัตว์มีผลเสียต่อสุขภาพมากมาย
นัก ปัจจุบันฝรั่งส่งเสริมให้ประชาชนของเขากินปลาให้มากขึ้นแล้ว (คนอเมริกันกินปลาน้อยเพียง 7.5 กิโลกรัมเฉลี่ยต่อคนในปี 2004) ยิ่งเป็นเหตุผลที่คนไทยต้องหันมากินปลาให้มากๆ
ดังที่บรรพบุรุษของเราเคยทำกันมาก่อน

เนื้อปลาเป็นโปรตีนที่ย่อยง่ายและปลอดภัยที่สุด แม้วันนี้ในตะวันตกจะมีประเด็นเรืองสารพิษตกค้างในปลา เช่น ปรอท ไดออกซิน (สารพิาตกค้างจากการผลิตพลาสติก) และ PCBs
(polychlorinated Biphenyls) แต่ในบ้านเรายังไม่ปรากฏเป็นข่าวให้กังวลใจแต่อย่างใด กระทั่งในตะวันตกเอง ปลาโดยส่วนใหญ่ก็ไม่พบมีสาร พิษตกค้าง ทีทางการให้ระแวดระวังหน่อยโดยไม่ให้กินหรือจำกัดปริมาณการกิน ก็มีเพียงไม่กี่ ชนิด เช่น ปลาฉลาม king mackerel ปลาทูน่า เป็นต้น สรุปรวมความแล้วปลาก็ยังเป็นโปรดีนที่ปลอดภัยกว่าเนื้อสัตว์ทั้งหลายทั้งปวงอยู่ดีไม่เพียงแต่เป็นโปรตีนชั้นดีเท่านั้น
ปลายังมีไขมันน้อย แคลอรีต่ำ จึงเหมาะอย่างยิ่งสำหรับผู้ที่กำลังลดน้ำหนักรักษาหุ่น แม้แต่คนเป็นเบาหวาน ปลาก็ยังเหมาะมากๆ เพราะโปรตีนทีมีมากช่วยคุมระดับน้ำตาลในเลือด
ส่วนไขมันทีว่ามีน้อยนั้น ก็ยังเป็นกรดไขมันจำเป็นโอเมก้าิ 3ที่มีประโยชน์กับร่างกายมาก ดังจะได้กล่าวถึงอย่าง ละเอียด ต่อไป

นอกจากโปรตีนและไขมันแล้ว เนื้อปลายังอุดมด้วยวิตามิน เกลือแร่ ไรโบฟลาวิน (วิตามินบี2) ซึ่งร่างกายต้องใช้ในการเผาผลาญ โปรตีน ไขมัน และคาร์โบไฮเดรต มีวิตามินD ที่กระดูกจำเป็นต้องใช้ในการสะสมแคลเซียมป้องกันภาวะกระดูกพรุน สำหรับเกลือ

ปลาอุดมด้วยแคลเซียม ฟอสฟอรัส เหล็กสังกะสี ไอโอดีน และแมกนีเซียม ซึ่งล้วนแล้วแตมีประโยชน์กับร่างกายทั้งสิ้น ด้วย เหตุผลว่าโปรตีนจาก เนื้อปลามีคุณภาพดี ปลอดภัย แถมด้วยวิตามินและเกลือแร่ที่ล้วนแต่สำคัญกับร่างกาย เท่านี้ก็น่าจะ มีเหตุผลหนักพอ ให้เราหันมากินปลากันแล้ว นอกจากนี้ยังมีอีกหนึ่งเหตุผลที่ทำให้ทุกวันนี้ปลายังจัดเป็น “อาหารต้านโรค” นั่นก็ คือ ปลามีน้ำมันปลาที่เป็นกรดไขมันโอเมก้าิ 3 ซึ่งผลการวิจัยได้ยืนยันว่ามีสรรพคุณต้านโรคที่เป็นสาเหตุการตายสำคัญๆในตะวันตก น้ำมันปลาในที่นี้ อย่าเข้าใจผิดเป็นน้ำมันตับปลา (คอด) ที่สมัยหนึ่งพ่อแม่เคยนิยมให้เด็กกินเสริมวิตามินเอ น้ำมันปลาในที่นี้คือไขมันของ ปลาที่ถือเป็น Essential Fatty Acids หรือ กรดไขมันจำเป็น ชนิดที่มีโครงสร้างทา้งเคมีที่เรียกว่า“โอเมก้า-3” เท่านั้น